ประวัติคนหางาน
ตำแหน่งงานที่ต้องการ :
อาจารย์ ผู้บริหาร วิชาการ  
ประเภทของงาน :
งานประจำ  
เงินเดือนที่ต้องการ :
N/A  
สถานที่ต้องการทำงาน
ภาค :
xxxx  
จังหวัด :
xxxx  
เขต/อำเภอ :
xxxx  
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อ :
xxxx 
นามสกุล :
xxxx 
เพศ :
หญิง  
วัน/เดือน/ปีเกิด :
01-พฤษภาคม-2511  
อายุ :
56  
สัญชาติ :
xxxx 
เชื้อชาติ :
xxxx 
ศาสนา :
xxxx  
ส่วนสูง :
xxxx 
น้ำหนัก :
xxxx 
ตำหนิ :
xxxx 
กรุ๊ปเลือด :
xxxx 
สถานที่เกิด :
xxxx 
โรคประจำตัว :
xxxx  
สถานะความเป็นอยู่ :
xxxx 
สถานะครอบครัว :
xxxx 
สถานะทางทหาร :
xxxx 
ที่อยู่ปัจจุบันที่ติดต่อได้สะดวก
ที่อยู่ :
xxxx  
แขวง/ตำบล :
xxxx  
เขต/อำเภอ :
xxxx  
จังหวัด :
xxxx  
รหัสไปรษณีย์ :
xxxx 
เบอร์โทรศัพท์บ้าน :
xxxx  
เบอร์มือถือ :
xxxx  
E-mail :
xxxx
ประวัติการศึกษา
ระดับการศึกษาสูงสุด :
ปริญญาเอก  
ชื่อสถาบันสูงสุด :
xxxx 
สาขา :
รัฐประศาสนศาสตร์ 
วิชาเอก :
รัฐประศาสนศาสตร์ 
เกรดเฉลี่ย :
3.79 
ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู
ไม่มี  
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา
มี  
ระดับ ชื่อสถาบัน จังหวัด ประเทศ ปีการศึกษา วุฒิที่ได้รับ
xxx  xxx  xxx  xxx  xxx  xxx 
xxx  xxx  xxx  xxx  xxx  xxx 
xxx  xxx  xxx  xxx  xxx  xxx 
ความสามารถทางด้านภาษา
ภาษา
พูด
เข้าใจ
อ่าน
เขียน
ไทย
ดีมาก 
ดี 
ดีมาก 
ดีมาก  
อังกฤษ
ดี  
พอใช้  
ดี  
ดี  
ความสามารถทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ( IT )
โปรแกรม
ความสามารถ ( ใช้งานได้ )
1. โปรแกรมสำนักงาน
(Word , Excel , Powerpoint , Access)
ดี  
2. โปรแกรม Multimedia
(Cai , Flash , Autoware , etc. )
พอใช้  
3. โปรแกรมตัดต่อ VDO , sound , Effect
( Premier , Ulead , Sound Forge , etc. )
พอใช้  
4. โปรแกรมสร้างกราฟิก ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์
( photoshop , Illustrator , etc. )
พอใช้  
5. โปรแกรมสร้างเว็บไซต์
( Dreamweawer , Wordpress , CMS ต่างๆ หรืออื่นๆ )
พอใช้  
6. การพัฒนาซอฟต์แวร์
6.1 Window based Application
 
6.2 Web based Application
 
6.3 Mobile Application
 
7. ภาษาคอมพิวเตอร์ที่ชำนาญ
 
8. Database ที่ชำนาญ
Ms Access  
9. ระบบเครือข่าย ( ติดตั้ง-ซ่อมบำรุง )
9.1 Window
ไม่ได้เลย  
9.2 Linux / Unix
 
10. การซ่อมบำรุงเครื่องคอมพิวเตอร์
(เครื่องคอมพิวเตอร์ , ปรินท์เตอร์ , อื่นๆ )
พอใช้  
ความสามารถทางด้านดนตรี
เครื่องดนตรี
ความสามารถ ( ใช้งานได้ )
1. เครื่องดนตรีไทย
(ระนาด , ขลุ่ย , ซอ , พิณ ฯลฯ )
ไม่ได้เลย  
2. เครื่องดนตรีสากล
( เปียโน , คีย์บอร์ด , กีตาร์ ฯลฯ )
ไม่ได้เลย  
ความสามารถทางด้านอื่นๆ
ความสามารถ :
งานวิชาการ การฝึกประสบการณ์วิชาชีพนักศึกษา  
เกียรติประวัติ - รางวัลต่างๆ
รางวัล
จากสถาบัน
ปี พ.ศ.ที่ได้รับ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ประวัติการทำงาน
ประสบการณ์การทำงาน :
xxxx ปี 
1 )
ชื่อสถานประกอบการ 1 :
xxxx  
ระยะเวลาเริ่มทำวันแรก :
01-พฤษภาคม-2548  
-จนถึงวันสุดท้าย :
30-ตุลาคม-2559  
ตำแหน่ง 1 :
อาจารย์ประจำ  
เงินเดือนสุดท้าย 1 :
N/A  
สาเหตุที่ลาออก 1 :
 
 
2 )
ชื่อสถานประกอบการ 2 :
xxxx  
ระยะเวลาเริ่มทำวันแรก :
01-พฤษภาคม-2561  
-จนถึงวันสุดท้าย :
-  
ตำแหน่ง 2 :
 
เงินเดือนสุดท้าย 2 :
N/A  
สาเหตุที่ลาออก 2 :
 
 
การฝึกอบรม
หัวข้อ
สถาบัน
ระยะเวลา
xxxx 
xxxx 
xxxx 
xxxx 
xxxx 
xxxx 
xxxx 
xxxx 
xxxx 
xxxx 
xxxx 
xxxx 
บุคคลผู้รับรอง ( อ้างอิงได้ )
ลำดับ
ชื่อ
นามสกุล
ความสัมพันธ์
สถานที่ติดต่อ
เบอร์โทรศัพท์
1
xxxx  
xxxx  
xxxx  
xxxx  
xxxx  
2
xxxx  
xxxx  
xxxx  
xxxx  
xxxx  
3
xxxx  
xxxx  
xxxx  
xxxx  
xxxx  
แสดงความรู้ ความเข้าใจ และทัศนะของท่าน
1)ทัศนคติต่อการศึกษาไทย :
ระบบการศึกษาและการปลูกฝังของผู้ปกครองเรื่องการเลือกอาชีพ หรือเรียกได้ว่าทัศนคติดังกล่าว เป็นสาเหตุสำคัญกดดันให้ เยาวชนไทย 78% เกิดความเครียด และงานวิจัย ชิ้นเดียวกันพบอีกว่าเยาวชนกว่า 1 ใน 3 ประสบกับปัญหาความขัดแย้งในตัวเอง มีความรู้สึกหดหู่ ซึมเศร้าและหมดหวังในชีวิต ดังนั้นก่อนจะคิดแก้ไขปัญหาการศึกษาด้วยการปฏิรูปขนานใหญ่ ผู้เขียนขอชวนมองให้เห็นสิ่งที่ทำให้การศึกษาไทยมีปัญหาตั้งแต่ระดับมุมมองและทัศนคติ ทั้งจาก พ่อแม่ ครูอาจารย์ไปจนถึงผู้กำหนดนโยบาย มาขยายทำความเข้าใจเพื่อนำไปสู่ทางแก้ไขกันอย่างถูกจุด 
2)ทัศนคติของท่านต่อสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน :
ในมุมมองของ คนไทย คนหนึ่ง ที่ได้เห็น การเปลี่ยนแปลง ของสังคมไทย เท่าที่เห็น ด้วยตัวเอง ผ่านการบอกเล่า หรือเห็นผ่านสื่อ Social media ต่างๆ ที่ข้อมูล ที่ล้นหลาม ท่วมท้น จนเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง อย่างมาก ของ สังคมไทย ชีวิต คนไทย มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย เท่าที่นึกออก อาทิ เช่น ๑. ในสมัยหนึ่ง เรามักกังวลว่า เด็กไทย ไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าตั้งคำถาม ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ถ้าเราหลับไป แบบ snow white ใน ภาพยนต์ series #Once upon a time เมื่อ ห้าสิบปีที่แล้ว แล้วตื่นขึ้นมาใน สังคมปัจจุบัน เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลง ของเด็กไทยบางกลุ่ม เรื่อง การแสดงออก เราอาจรู้สึก ตกใจ และ คาดไม่ถึงว่า สิ่งที่เราอยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลง มันไม่ใช่ เปลี่ยนไปในรูปแบบนี้นี่นา ๒. เดิม คนไทย เป็นคนสบายๆ ง่ายๆ ที่เรียกว่า "มนุษย์ไม่เป็นไร"/ "มนุษย์ขี้เกรงใจ" ด้วยเมืองไทย เป็น อู่ข้าวอู่น้ำ อุบัติภัยทางธรรมชาติ มีน้อย ชีวิตจึง สบายๆ แบบ slow life ( ที่ กำลัง โหยหา มากในปัจจุบัน ) มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ในปัจจุบัน เรามีแต่ความเร่งรีบ แก่งแย่ง แข่งขัน เอารัดเอาเปรียบ เอาประโยชน์ เอาความสบายของตน ขาดความเกรงใจผู้อื่น เอาง่ายๆ นึกจะจอดรถบนถนน ตรงไหน ก็จอด ไม่ได้ดูว่า จะจอดขวางทางคนอื่น จนคนอื่นเดือดร้อน ก็ไม่สนใจ ครั้นมีคนมาต่อว่า ก็ โกรธ ทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่สนใจว่า ตัวเองเป็นคนผิด เป็นผู้ก่อเรื่องขึ้นมาก่อน ๓. คนไทย สมัยหนึ่ง มีระเบียบวินัย พอสมควร มีกฎเกณฑ์ ที่เรียกว่า ธรรมเนียมปฏิบัติ มีจารีต ประเพณี ที่ สมัยหนึ่ง อาจจะดู โบราณ คร่ำครึ แต่มาดู ความขาดวินัย ของชาวไทย ในปัจจุบัน ที่ชัดๆง่ายๆ คือ การ ไม่เคารพกฎหมาย ถือคติว่ากฏมีไว้ให้หลีกเลี่ยง ไม่เคารพกฏจราจร จน สภาพการจราจร เข้าข่ายโกลาหล ทั้งในเวลาเร่งด่วน หรือเวลาปกติ การจอดรถในที่ห้ามจอด การจอดรถ ทับที่ผู้พิการ การสวมหมวกกันน็อค( ไม่คาดสายรัด)เฉพาะ เวลา ขับรถผ่านตำรวจ ก็เห็นกันดาษดื่น ทั่วไป เราอาจจะอยากกลับไป คร่ำครึ กันอีกครั้ง จะดีไหมหนอ ๔. คนไทย เดิม มี สัมมาคารวะ มีพี่ มีน้อง พ่อแม่สอนลูก พี่สอนน้อง เด็กเคารพผู้ใหญ่ เดินผ่านผู้ใหญ่ ก็ ค้อมหลัง ยกมือไหว้ แสดงถึงความเคารพ เป็นความน่ารักแบบไทยๆ ที่คนต่างชาติ เห็น ก็ชื่นชม ( แบบ รัชนก อินทนนท์ ที่ยกมือไหว้ คนถูพื้น ในสนามแบดมินตัน เป็นภาพที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน ) เดี๋ยวนี้ เราจะเห็น เด็กๆ ตวาด ผู้ใหญ่ ลูก ทำร้าย พ่อแม่ เดินสวนกัน ไม่มองหน้ากัน เดินชนครูบาอาจารย์ ไม่ขอโทษ จนถึง ไล่ชก คุณครูที่ มาอบรม สั่งสอน เรื่อง มารยาท ก็เห็นกันได้ ทั่วไป ๕. คนไทย เดิม เป็นคน รัก พวกพ้อง เป็น สังคมอุปถัมภ์ มานานมากแล้ว เช่น ไปไหนมาไหน มักมีของไปฝาก มีอาหาร ผลไม้ ก็เก็บเอาไว้ ให้ พี่น้อง ให้เพื่อน แบ่งปันกันไป แต่ปัจจุบัน มันเกินคำว่าอุปถัมภ์ไปมาก จนกลายเป็น "อุปสินบน" เป็น พวกมากลากไป วงการราชการ / เอกชน เกือบทุกที่ เอาแต่พวกพ้อง ไม่คำนึงถึง ความรู้ความสามารถ แต่งตั้ง คนเข้ารับตำแหน่งจาก คนที่หาผลประโยชน์มาใหั ลุกลามไปจนถึง การทุจริต คอร์รัปชั่น โกงชาติ โกงแผ่นดิน ก็ไม่เป็นไร ขอให้ตัวได้ประโยชน์ เป็นพอ จนสุดท้ายกลายเป็น ค่านิยม ว่า "โกงไม่เป็นไร " "ใครๆก็ทำกัน" แบบนี้ ความล่มจม ของชาติ คงมาถึง แบบที่ได้ยิน บนรถไฟฟ้า BTS ว่า Next station ..... Ship hai . ๖. คนไทย เป็นคนเอื้อเฟื้อ ต่อคน แปลกหน้า หรือ ชาวต่างชาติ เรามี ชุมชน ที่คนต่างศาสนา อยู่ร่วมกันแบบกลมกลืนกันมาก เป็น คน ยิ้มง่าย "ยิ้มสยาม" ที่ลือเลื่อง ทั่วโลก ในสถานการณปัจจุบัน ถ้าเป็น ภาพยนต์ คงต้องตั้งชื่อว่า "ฉีกยิ้มเพื่อรอเชือด" เราจึง มีคนต่างชาติ ที่รัก ความเป็นไทย มาเที่ยว มาอยู่เมืองไทย ถูกหลอก ถูก ฆาตกรรม มากมาย ๗. การเลี้ยงลูก ของชาวไทย เปลี่ยนไป พ่อแม่ มักจะ อยากให้ลูกสบาย มีการศึกษา เรียนสูงๆ เพื่อที่จะไม่มีชีวิตที่ลำบาก เหมือน ตัวเอง มักตามใจ ไม่มอบหมายให้ ช่วยพ่อแม่ทำงานเหมือนในอดีต เด็กรุ่นใหม่ จึงขาดความอดทน จับจด ทำอะไรไม่เป็น แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่ได้ เอาแต่ใจ คิดถึงแต่ตัวเอง เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง ทนความผิดหวัง สูญเสียไม่ได้ ค่านิยมการเลี้ยงลูกแบบนี้ ที่น่าตกใจคือ แม้ใน กลุ่มที่พ่อแม่ มี ฐานะ ยากจน ขาดแคลน ก็ยัง เลี้ยงลูกแบบนี้ เช่นกัน ๘ . สุดท้าย ที่นึกออก คือ คนไทย กลายเป็น คน แยกแยะ ผิดถูกไม่ได้ อันนี้ อันตรายมาก เราวัด ความดี ของคน ด้วย เงิน เรายกมือไหว้ คนที่ มีฐานะ ไม่ว่า เขาจะร่ำรวยมาจาก เรื่องอะไรก็ตาม เราคงเคยเห็น ภาพ ผู้ใหญ่ พ่อแม่ ก้มกราบ ลูก หรือ ผู้อ่อนเยาว์ ที่บวชเป็นพระ นั่นเป็น เพราะ เรากราบไหว้ ในฐานะ ที่ เป็น พระสงฆ์ หนึ่งในสาม ของพระรัตนตรัย แต่ ปัจจุบัน ผู้ใหญ่บางคน ก้มกราบ คนที่อายุน้อยกว่า ด้วยเพราะ ต้องการ ตำแหน่งหน้าที่การงาน ต้องการเป็นพวกด้วย อันนี้ มันเกินไปที่จะเข้าใจ ถ้าใช้ สามัญสำนึก ของ ความ ถูกต้องดีงาม เข้ามาวัด ที่เขียน มาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ต้องการ ย้อนยุคไป ห้าสิบปี ร้อยปี ที่แล้ว สังคมทุกที่ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงพัฒนา ไป ตามกาลสมัย เพียงแต่ ต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี และมีทิศทางที่ถูกต้องสังคมไทย มีข้อดี มากมาย ที่คนต่างชาติ ชื่นชม ความเอื้ออาทร ความมีน้ำใจ ความเอาใจใส่ เราไม่เป็นรองใครในโลกนี้ ที่เราขาด คือ ความ มีวินัย การคิดถึงส่วนรวม ประเทศชาติ การ คิดวิเคราะห์ แยกผิด แยกถูก และ ความสามัคคี เมื่อคิดได้ถึงจุดนี้ เราควรจะ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง อย่างไร ถ้าเป็นภาพใหญ่ ต้องเป็นหน้าที่ ของ ผู้นำ ที่จะ มีวิสัยทัศน์ ว่าจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปในแบบใด ทิศทางใด เราไม่สามารถ copy วิธีการมาจาก ประเทศอื่น ที่ประสบความสำเร็จได้ เช่น เราเห็นว่า คนญี่ปุ่น เป็นประเทศที่มีระเบียบ วินัย สอนตั้งแต่เด็ก วัย อนุบาล ให้ รู้จัก ซื่อสัตย์ อดทน ช่วยตัวเอง คิดถึง ส่วนรวม เคารพกฎเกณฑ์ โตขึ้นมาจึงเป็นพลเมืองคุณภาพ คนเยอรมัน สอนให้ คนของตัวเอง ประหยัด ใช้ทรัพยากร ทุกอย่างให้คุ้มค่า เช่น สั่งอาหาร ให้พอกิน ห้ามทิ้งขว้าง ไม่ว่าจะ มีเงินจ่ายหรือไม่ ตัวอย่างเหล่านี้ เราไม่สามารถลอกแบบ มาใช้ได้ ด้วย บริบท ของแต่ละประเทศ ชนชาติ มี ประวัติศาสตร์ ที่ สั่งสม บ่มเพาะ คนของชาตินั้น ให้เป็นแบบนั้น มาหลายชั่วอายุคน และในความสำเร็จ ของชาติ แต่ละชาตินั้น ก็มีปัญหาของตนเอง แฝงอยู่ เช่น คนในชาติ อาจ มีความเครียด ง่าย ทุ่มเทกับงาน จนเป็น workaholic เป็นปัญหาที่ประเทศ เหล่านั้น ต้องแก้ปัญหา และ อาจจะอยากเป็น แบบชาวไทย ใน บางเรื่องก็ได้เช่นกัน ประเทศเราต้องการ ความสามัคคี ต้องมาช่วยกันคิด ว่า เราจะพัฒนา ประเทศไปทางใด เพราะ ต้อง ใช้เวลา อีกหลายสิบปี จนกว่าจะเห็นผลใน generation ต่อไป ยิ่งช้า ยิ่งเสียหาย เราต้อง พัฒนา บนพื้นฐานของเราเอง โดยรักษาส่วนที่ดีไว้ เชื่อกันว่า รากฐาน การเลี้ยงดูเด็กที่ถูกต้อง เด็กจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ สังคมไทย จะได้ เข้มแข็งขึ้น จึงควรจะมีการอบรม พ่อแม่ ที่กำลังจะมีบุตร รัฐควรจัดให้ มีโรงเรียน พ่อแม่ เพื่อ จะได้สอนวิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กไทย ตั้งแต่ วัยเยาว์ เพื่อลดปัญหาในอนาคต  
3)กัลยาณมิตรและโยนิโสมนสิการกับการศึกษา :
กัลยาณมิตร คือ เพื่อนที่ดี เป็นหลักธรรมที่ต้องการให้มนุษย์ได้รู้และปฏิบัติในการเป็นเพื่อนที่ดี เป็นคุณสมบัติของมิตรแท้ (มีไมตรีต่อกัน) เมื่อได้คบกันหรือเข้าหากันแล้วจะก่อให้เกิดความดีงาม และความเจริญ กัลยาณมิตรเป็นฐานที่ทำให้มิตรได้รู้ความจริง (truth) หลักการ กฎเกณฑ์ ทฤษฎี หรือข้อตกลงอื่น ๆ ที่สังคมกำหนด หรือสังคมยอมรับ ซึ่งเป็นฐานในการโยงความสัมพันธ์ของเงื่อนไขจำเป็น (เหตุ) กับสิ่งที่เกิดตามมา (ผล) เนื่องจากการพิสูจน์ คือ การนำหรืออ้างหลักฐานประจักษ์มายืนยันหรือปฏิเสธ การพิสูจน์จึงต้องดูที่เงื่อนไขจำเป็นของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น โยนิโสมนสิการ” จึงหมายถึง การทำในใจให้แยบคาย หรือ การพิจารณาโดยแยบคาย กล่าวคือ ความเป็นผู้ฉลาดในการคิด คิดอย่างถูกวิธีถูกระบบ พิจารณา ไตร่ตรองสาวไปจนถึงสาเหตุหรือต้นตอของเรื่องที่กำลังคิด คือคิดถึงรากถึงโคนนั่นเอง แล้วประมวลความคิดรอบด้านจนกระทั่งสรุปออกมาได้ว่าสิ่งนั้นควรหรือไม่ควร ดีหรือไม่ดี เป็นวิถีทางแห่งปัญญา เป็นธรรมสำหรับกลั่นกรองแยกแยะข้อมูลหรือแหล่งข่าวหรือที่เรียก “ปรโตโฆสะ” อีกชั้นหนึ่ง กับทั้งเป็นบ่อเกิดแห่งความคิดชอบหรือ “สัมมาทิฐิ” ทำให้มีเหตุผล และไม่งมงาย (พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช)๒๕๔๘. พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด. กรุงเทพฯ : วัดราชโอรสาราม.) ในฐานะที่เป็นกระบวนการสอน โยนิโสมนสิการเป็นกระบวนการคิด เป็นวิธีการที่ให้บุคคลมีหลักการและวิธีการคิดที่ก่อให้เกิดประโยชน์ เพื่อให้ง่ายต่อการนำไปใช้ในกระบวนการสอน ขอใช้ในความหมายง่าย ๆ ว่า โยนิโสมนสิการ คือ กระบวนการคิดหาเหตุ หรือกระบวนการพิจารณาหาเหตุ